banner-inner-default

ต่อเติมบ้านเก่ากับสร้างใหม่ – ทางเลือกไหน “คุ้มค่าและเหมาะสม” กว่ากัน?

Kitchen

เมื่อบ้านเริ่มมีสมาชิกเพิ่มขึ้นหรือพื้นที่ใช้สอยไม่เพียงพอ หลายคนอาจเริ่มชั่งใจระหว่าง “ต่อเติมบ้านเดิม” กับ “ซื้อบ้านใหม่” ว่าทางไหนดีกว่ากัน ทั้งในแง่ของงบประมาณ ความสะดวก และความมั่นคงของโครงสร้าง ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ทั้งสองทางเลือกมีข้อดีข้อจำกัดแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสภาพบ้านเดิม พื้นที่ดิน และวัตถุประสงค์ในการใช้งาน

เหตุผลที่เจ้าของบ้านส่วนใหญ่เลือกต่อเติม

1. ประหยัดงบประมาณมากกว่า

การต่อเติมมักใช้งบน้อยกว่าการซื้อบ้านใหม่หลายเท่า เพราะใช้โครงสร้างเดิมบางส่วน เช่น ผนัง หลังคา หรือระบบไฟฟ้า–ประปา ทำให้ไม่ต้องลงทุนทั้งหมดใหม่

2. เพิ่มพื้นที่ได้ตรงความต้องการ

ต่อเติมสามารถออกแบบให้ตอบโจทย์เฉพาะตัว เช่น เพิ่มห้องครัว ห้องทำงาน หรือห้องพักผู้สูงอายุ โดยไม่ต้องย้ายที่อยู่หรือละทิ้งทำเลที่คุ้นเคย

3. ใช้พื้นที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด

หากบ้านเดิมมีบริเวณเหลือ เช่น พื้นที่ข้างบ้านหรือหลังบ้าน การต่อเติมช่วยเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินได้ทันที
อย่างไรก็ตาม การต่อเติมบ้านเก่าไม่ใช่แค่สร้างเพิ่มอย่างเดียว แต่ต้องวางแผนอย่างรอบคอบเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการทรุดตัวหรือแตกร้าวในอนาคต
Before vs After

วัสดุและระบบโครงสร้างที่ควรเลือกใช้

1. สำรวจสภาพบ้านเดิม

วิศวกรหรือสถาปนิกควรเข้ามาประเมินโครงสร้างเดิมก่อน ว่ามีรอยแตกร้าวหรือการทรุดตัวหรือไม่ เพื่อใช้เป็นข้อมูลออกแบบฐานรากใหม่ให้เหมาะสม

2. สำรวจระบบไฟฟ้า

 เนื่องจากรีโนเวทหรือต่อเติมบ้านถ้ามีการเพิ่มฟังก์ชันพื้นที่และมีการเพิ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่นเครื่องทำน้ำร้อน เตาอบ แอร์และอื่นๆ ต้องเช็คไฟเดิมว่าเป็นไฟกี่เฟส ไฟบ้านโดยทั่วไปมีไฟ 1 เฟสและ 3 เฟส ซึ่งมีผลกับตู้ไฟเดิมอาจไม่เพียงพอเพื่อให้จ่ายไฟได้เสถียรกว่าและปลอดภัย

3. สำรวจระบบประปา

สามารถเช็คโดยการเทสระบบน้ำ รอยรั่วน้ำที่ฝ้าใช้เครื่องมือเช็คและตรวจสอบท่อน้ำดี-น้ำเสียว่าทำงานได้ปกติหรือไม่เพราะการแก้ไขภายหลังอาจทำให้เกิดค่าใช้จ่ายสูงขึ้นกว่าช่วงรีโนเวท                  

4. ออกแบบและคำนวณโครงสร้าง

ผู้ออกแบบจะต้องคำนวณน้ำหนักโครงสร้างใหม่ และออกแบบเสาเข็มให้มีขนาดและความลึกเพียงพอ รวมทั้งแยกโครงสร้างต่อเติมออกจากบ้านเดิมเล็กน้อย (เรียกว่า “รอยต่อกันการทรุด”) พร้อมทั้งวางแผนการใช้งานพื้นที่ให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ เช่น เพิ่มห้องทำงาน ห้องเก็บของ หรือขยายพื้นที่ห้องครัว การออกแบบควรคำนึงถึงระบายอากาศ แสงธรรมชาติและความสะดวกในการเดินระบบไฟฟ้าและประปา

5. การขออนุญาตก่อสร้าง

ขออนุญาตก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารหรือการดัดแปลงอาคารที่มีผลต่อโครงสร้างหลัก

6. ตรวจสอบขอบเขตที่ดิน

พื้นที่บ้านที่จะต่อเติม ควรตรวจสอบก่อนเริ่มดำเนินการระยะถอยร่นช่องเปิด แนวรางน้ำฝน เพื่อหลีกเลี่ยงการรุกล้ำพื้นที่เพื่อนบ้าน

7. ลงเข็มและวางฐานราก

เป็นขั้นตอนที่ไม่ควรข้ามหรือเร่งรีบ เพราะหากลงเข็มไม่ลึกพอจะเกิดการทรุดตัวในภายหลัง
PileBar

8. ก่อสร้างโครงสร้างหลักและงานระบบ

หลังจากฐานรากมั่นคงแล้ว จึงเริ่มก่อผนัง วางโครงหลังคา ติดตั้งระบบไฟฟ้า–ประปา และงานตกแต่งภายในตามลำดับ

9. ตรวจสอบและเก็บงาน

ก่อนส่งมอบ ควรตรวจสอบรอยต่อระหว่างบ้านเดิมกับส่วนต่อเติมว่ามีรอยร้าวหรือรอยแยกหรือไม่ และควรเก็บบันทึกแบบก่อสร้างไว้สำหรับซ่อมบำรุงในอนาคต

โอกาสการทรุดตัวของส่วนต่อเติม

แม้จะก่อสร้างอย่างถูกต้อง แต่ส่วนต่อเติมมักมีโอกาสทรุดมากกว่าบ้านเดิมเล็กน้อย เนื่องจากดินใต้พื้นที่ใหม่ยังไม่ถูกอัดแน่นเท่าดินเดิม อย่างไรก็ตาม สามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการ
• ใช้เข็มที่มีความยาวและขนาดเหมาะสมกับสภาพดิน
• แยกโครงสร้างระหว่างของเดิมกับของใหม่
• ตรวจเช็กสภาพรอยแตกร้าวทุกปี

ในกรณีบ้านเดิมยังแข็งแรง ไม่มีปัญหาโครงสร้างรุนแรง การต่อเติมถือเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและตอบโจทย์มากกว่าการซื้อบ้านใหม่ เพราะใช้งบประมาณน้อยกว่า ปรับเปลี่ยนได้ตามใจ และยังคงอยู่ในทำเลเดิมที่คุ้นเคย แต่ต้องทำอย่างถูกวิธี โดยมีวิศวกรหรือผู้เชี่ยวชาญดูแลตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ ฐานราก ไปจนถึงการเลือกวัสดุ จึงจะได้บ้านที่ “ขยายพื้นที่ได้โดยไม่เพิ่มปัญหา” ในระยะยาว

หากคุณกำลังมองหาบริษัทที่มีเชี่ยวชาญและประสบการณ์  พร้อมทีมวิศวกร สถาปนิก และช่างฝีมือ ที่พร้อมให้คำแนะนำและใส่ใจทุกรายละเอียด P.O. Architect & Interior คือคำตอบครบจบในที่เดียว ที่จะสานฝันในแบบบ้านของคุณให้เป็นจริง
Share on facebook
Share on twitter
Share on linkedin